วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

USA Food News_ข่าว กฎระเบียบ มาตรฐานอาหารของอเมริกา

FDA สหรัฐฯ ขยายเวลาการติดฉลากรายการอาหาร (menu-labeling regulation)
                สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ เตรียมตีพิมพ์กฎระเบียบฉบับสมบูรณ์ว่าด้วยการติดฉลากรายการอาหาร ซึ่งได้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติออกไปจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2560

                
ข้อกำหนดการติดฉลากรายการอาหารเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายการดูแลสุขภาพที่ประธานาธิปดีโอบามาได้ลงนามเป็นกฎหมาย เมื่อปี 2553 ทว่า การบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวประสบกับปัญหายุ่งยากมากมาย จากเดิมจะต้องเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2558 แต่ก็ถูกเลื่อนออกไป 2 ครั้ง โดยสภาคองเกรสได้สั่งให้ FDA เลี่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 1 ปี ภายหลังจากการตีพิมพ์คำแนะนำฉบับสมบูรณ์ ซึ่งได้มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา

                กฎระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ภัตตาคารและธุรกิจบริการด้านอาหาร ที่มีสาขาตั้งแต่ 20 แห่งขึ้นไป ภายใต้ชื่อเดียวกัน ต้องให้ข้อมูลแคลอรี่สำหรับรายการอาหารทั่วไป ในส่วนของข้อมูลเสริมด้านโภชนาการจัดให้เมื่อลูกค้าร้องขอ

                สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
  
http://www.restaurant.org/menu-labeling
 
 
ที่มา : restaurant.org  สรุปโดย : มกอช. (8/12/59)

US คาดการณ์ไตรมาสสุดท้ายยอดการส่งออกสินค้าเกษตรปี 2560
           รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดการณ์ยอดการส่งออกสินค้าเกษตรปี 2560 ไว้ที่ 1.34 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยสินค้าเกษตรส่งออกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและติดอันดับสินค้าส่งออกหลักตลอดแปดปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2552 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าเกษตรมากกว่า 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตและความสามารถของเกษตรกร และบางส่วนจากการดำเนินงานของหน่วยงาน FAS ที่ให้การสนับสนุนภารกิจด้านการค้าและด้านการตรวจสอบสินค้าเกษตรเพื่อลดอุปสรรคทางการค้า

            ยอดคาดการณ์ที่ 1.34 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ สูงกว่าปี 2559 ถึง 4.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ และยังคาดการณ์ว่าจะได้ดุลยการค้าสูงถึง 20.5 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากปี 2559 ที่มียอดเกินดุลยการค้าอยู่ที่ 16.6 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ทั้งนี้ สินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญปี 2560 ได้แก่ ถั่วเหลืองประมาณการปริมาณส่งออกอยู่ที่ 55.8 ล้านเมตริกตัน และข้าวโพดประมาณการปริมาณส่งออกอยู่ที่ 56.5 ล้านเมตริกตัน และคาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกฝ้ายจะฟื้นตัว ส่วนปริมาณการส่งออกปศุสัตว์และสัวต์ปีกจะเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง

            รายได้จากการส่งออกนี้คิดเป็น 20% ของรายได้ของเกษตรกรสหรัฐ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในชนบทและการสนับสนุนการจ้างงานมากกว่า 1 ล้านอัตตรา ทั้งในและนอกภาคการเกษตร
 
  

ที่มา : USDA สรุปโดย มกอช. (9/12/59)

FDA สหรัฐฯ ตั้งเกณฑ์ 22 วัน ตอบคำถามระเบียบ FSMA
                จากรายงานของสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (GAO) พบว่ากฎระเบียบความปลอดภัยใหม่ผลิตผลสดภายใต้ FSMA สร้างความยุ่งยากให้กับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง และพบว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการกำหนดมาตรฐานการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การบรรจุ และการจัดเก็บผลิตผลสดเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ประสบกับความยุ่งยากในการตอบคำถามเอกชนเกี่ยวกับกฎระเบียบดังกล่าว FDA ได้ตั้งเครือข่ายช่วยเหลือทางด้านเทคนิค (Technical Assistance Network: TAN) เมื่อเดือนกันยายน 2558 เพื่อคำถามตลอดจนข้อสงสัยต่างๆ ที่ส่งเข้ามายัง FDA หลายช่องทางจากภาคอุตสาหกรรมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับระเบียบ FSMA
                ในปีแรก TAN ได้รับคำถามจำนวน 2,626 คำถาม โดยร้อยละ 14 เป็นเรื่องเกี่ยวกับระเบียบการผลิตผักผลไม้สด ซึ่งในจำนวนนี้ร้อยละ 60 เป็นคำถามจากภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเด็นการใช้น้ำในการเกษตรภายใต้ระเบียบการผลิตผักผลไม้สด ตลอดจนการเก็บตัวอย่างการใช้น้ำ และประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ
                  อย่างไรก็ตาม สิ้นสุดเดือนตุลาคม 2559 มีคำถามเพียงร้อยละ 72 ที่ได้รับการตอบกลับ ทั้งนี้เนื่องจากระเบียบบางฉบับยังอยู่ในระหว่างความคืบหน้าการดำเนินการ และ FDA ไม่ต้องการตอบคำถามผ่าน TAN ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับคำแนะนำกฎระเบียบที่จะออกตามมาในอนาคต โดย FDA จะใช้เวลาประมาณ 22 วันทำการในการตอบคำถาม ส่วนคำถามที่ FDA ไม่ตอบภายใน 30 วัน จะมีการส่งข้อความไปแจ้งยังผู้สอบถามว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการ
                กฎระเบียบด้านผลิตผลสดภายใต้ FSMA มีความครอบคลุมกว้างและมีความซับซ้อนมากขึ้นจึงต้องมีความรอบคอบในการตอบคำถามและให้คำแนะนำในการปฏิบัติแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ที่มา: foodsafetynews.com สรุปโดย: มกอช. (6/12/59)

สหรัฐฯ แบนคาราจีแนนในอาหารออแกนิค
คณะกรรมการมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (NOSB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของคณะกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้ลงมติไม่อนุญาตให้ใช้คาราจีแนน (Carrageenan) เป็นวัตถุเจือปนในอาหารออร์แกนิคส์

            คาราจีแนนเป็นเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ สกัดจากสาหร่ายสีแดง ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารมานานกว่าร้อยปี เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มส่งออกแบบ Shelf Stable เนื่องจากช่วยรักษาและยืดอายุสินค้าได้ดีโดยเฉพาะในนมและเครื่องดื่มให้โปรตีน

            อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับคุณประโยชน์และผลกระทบต่อสุขภาพของคาราจีแนนซึ่งนักวิจัยบางกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีความเชื่อมโยงระหว่างคาราจีแนนและโรคทางเดินอาหารอักเสบ ในขณะที่บางฝ่ายยังคงยืนยันในคุณประโยชน์ที่หลากหลายของคาราจีแนน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยรักษาความคงตัวของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ไอศกรีม และนมผงสำหรับเด็กทารก

            ล่าสุดสมาคมผู้ผลิตร้านขายของชำได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า  คาราจีแนนยังควรอยู่ในรายชื่อวัตถุเจือปนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ของ NOSB เนื่องจากได้รับการพิสูจน์เรื่องความปลอดภัยในการบริโภคและยังไม่มีสารตัวใดที่มีคุณสมบัติทดแทนคาราจีแนนได้ นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานด้านกฎระเบียบและองค์กรด้านการวิจัยทั่วโลกว่าปลอดภัยและมีประโยชน์มาก

            ขณะนี้ NOSB อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อปรับแก้กฎหมายห้ามใช้วัตถุเจือปนในสินค้าอาหารออร์แกนิคส์โดยคาดว่าการเปลี่ยนแปลงระเบียบจะแล้วเสร็จในปีหน้า

            ทั้งนี้ การห้ามใช้คาราจีแนนจะบังคับใช้กับอาหารออร์แกนิคส์เท่านั้น

ที่มา Food Safety Magazine
สรุปโดย มกอช
.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น